Category Archives: เก็บมาฝาก

16 มกราคม วันครูแห่งชาติ 2556

ไหว้ครู

          เดือนมกราคมวนเวียนมาถึงอีกครั้ง บรรดานักเรียนทั้งหลายคงจำกันได้ดีว่า วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็นวันครู ที่กำหนดขึ้นเพื่อให้ลูกศิษย์ทั้งหลายระลึกถึงพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ได้สอนสั่งอบรมวิชาให้เรา วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปทำความรู้จักถึงความหมายของครู และประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับวันครูกันค่ะ
ความหมายของครู  
           ครู หมายถึง  ผู้สั่งสอนศิษย์ หรือ ผู้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ ซึ่งมีผู้กล่าวว่ามาจากคำว่า ครุ (คะ-รุ) ที่แปลว่า “หนัก” อัน หมายถึง ความรับผิดชอบในการอบรมสั่งสอนของครูนั้น นับเป็นภาระหน้าที่ที่หนักหนาสาหัสไม่น้อย กว่าคน ๆ หนึ่งจะเติบโตเป็นผู้มีวิชาความรู้ และเป็นคนดีของสังคม ผู้เป็น “ครู” จะต้องทุ่มเทแรงกายและแรงใจไม่น้อยไปกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเลย ซึ่งในชีวิตของคน ๆ หนึ่ง นอกเหนือไปจากพ่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือน “ครูคนแรก” ของเราแล้ว การที่เด็ก ๆ จะดำรงชีพต่อไปได้ในสังคม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมี “ครู” ที่จะประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ เพื่อปูพื้นฐานไปสู่หนทางทำมาหากินในภายภาคหน้าด้วย ดังนั้น “ครู” จึงเป็นบุคคลสำคัญที่เราทุกคนควรจะได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อท่าน
ความสำคัญของครู
           ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี
           ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆ คน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง

วันครู

ประวัติความเป็นมา 

วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ. 2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู
ทุก ปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

พ.ศ. 2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

“ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า วันครู ควร มีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อ วันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง”
จาก แนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่น ๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครู ในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่าง ครูกับประชาชน

ด้วยเหตุนี้ คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น วันครู โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2488 เป็น วันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว

งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ

 การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันครู
เพื่อ ให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของครู ตลอดจนจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู และบทบาทหน้าที่ของศิษย์ที่พึงปฏิบัติต่อครู ตลอดจนการจัดกิจรรมได้เหมาะสม และมีประสิทธภาพ
กิจกรรมวันครู
การ จัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของ สังคมตลอดเวลาในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมีกิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. กิจกรรมทางศาสนา
2. พิธีรำลึกพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตนการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬา หรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น

ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วยบุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ

          รูป แบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงาน วันครู พร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป
หลัง จากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวด คำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
จากนั้นประธานจัดงาน วันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ ผู้นำร่วมประชุมกล่าวปฏิญาณ
 คำปฏิญาณตนของครู
ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
จาก นั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรี มอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอก และในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม

“ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม”

มารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีของครู 
1. เลื่อมใสการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขด้วยความบริสุทธิ์ใจ
2. ยึดมั่นในศาสนาที่ตนนับถือ ไม่ลบหลู่ดูหมิ่นศาสนาอื่น
3. ตั้งใจสั่งสอนศิษย์และปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้เกิดผลดีด้วยความเอาใจใส่ อุทิศเวลาของตน ให้แก่ศิษย์ จะละทิ้งหรือทอดทิ้งหน้าที่การงานไม่ได้
4. รักษาชื่อเสียงของตนมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว ห้ามประพฤติการใด ๆ อันอาจทำให้เสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงของครู
5. ถือปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมอันดีงามของสถานศึกษา และปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่การงานโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบแบบแผนของสถานศึกษา
6. ถ่ายทอดวิชาความรู้โดยไม่บิดเบือนและปิดบังอำพราง ไม่นำหรือยอมให้นำผลงานทางวิชาการของตนไปใช้ในทางทุจริตหรือเป็นภัยต่อ มนุษย์ชาติ
7. ให้เกียรติแก่ผู้อื่นทางวิชาการ โดยไม่นำผลงานของผู้ใดมาแอบอ้างเป็นผลงานของตน และไม่เบียดบังใช้แรงงานหรือนำผลงานของผู้อื่นไป เพื่อประโยชน์ส่วนตน
8. ประพฤติตนอยู่ในความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความเที่ยงธรรมไม่แสวงหาประโยชน์สำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ
9. สุภาพเรียบร้อยประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ รักษาความลับของศิษย์ ของผู้ร่วมงานและของสถานศึกษา
10. รักษาความสามัคคีระหว่างครูและช่วยเหลือกันในหน้าที่การงาน 
รายชื่อประเทศที่มี วันครู
ประเทศที่มี วันครู ที่ไม่ใช่วันหยุด
– อินเดีย วันครูตรงกับวันที่ 5 กันยายน
– มาเลเซีย วันครูตรงกับวันที่ 16 พฤษภาคม
– ตุรกี วันครูตรงกับวันที่ 24 พฤศจิกายน
ประเทศที่มี วันครู เป็นวันหยุด
– แอลเบเนีย วันครูตรงกับวันที่ 7 มีนาคม
– จีน วันครูตรงกับวันที่ 10 กันยายน
– สาธารณรัฐเช็ก วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
– อิหร่าน วันครูตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม
– ละตินอเมริกา วันครูตรงกับวันที่ 11 กันยายน
– โปแลนด์ วันครูตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม
– รัสเซีย วันครูตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม
– สิงคโปร์ วันครูตรงกับวันที่ 1 กันยายน
– สโลวีเนีย วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
– เกาหลีใต้ วันครูตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม
– ไต้หวัน วันครูตรงกับวันที่ 28 กันยายน
– ไทย วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม
– สหรัฐอเมริกา วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม
– เวียดนาม วันครูตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก news.kku.ac.th
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
 

ปิด – ปิด – ปิด

stop

ข้อมูลจาก FWDMAIL
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต

ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2556 ในหลวงทรงชี้เมตตา-นำสุข

ส.ค.ส.พระราชทาน ปี 2556 ในหลวงทรงชี้เมตตา-นำสุข

F2013-2400

ดาวน์โหลด ส.ค.ส.พระราชทานประจำปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ฉบับความละเอียดสูง

ดาวน์โหลด ส.ค.ส.พระราชทานฉบับความละเอียดสูงทั้งหมด

ส.ค.ส.พระ ราชทานพรปีใหม่ พุทธศักราช ๒๕๕๖ เป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์เชิ้ตลำลองสีฟ้า มีลายเส้นสีชมพู และสีฟ้าฟ้าเข้มพาดตัดกัน พระสนับเพลาสีดำ และฉลองพระบาทสีดำ ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านขวาของพระเก้าอี้ที่ประทับ มีโต๊ะกลม วางพระบรมฉายาลักษณ์ครอบครัว และเชิงเทียนแก้ว

ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๑ สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านขวา และคุณมะลิ แม่เลี้ยงคุณทองแดง สวมเสื้อสีทอง หมอบอยู่แทบพระบาทด้านซ้าย ด้านหลังพระเก้าอี้ที่ประทับ ตกแต่งด้วยดอกกล้วยไม้หลากสี ด้านขวาบน มีตราพระมหาพิชัยมงกุฎประดับ ส่วนด้านซ้ายมีผอบทองประดับ

ด้านล่างของผอบทอง มีตัวอักษรสีทอง ข้อความว่า ส.ค.ส. พ.ศ. ๒๕๕๖ สวัสดีปีใหม่ และ ตัวอักษรสีขาว ข้อความว่า ขอจงมีความสุขความเจริญ HAPPY NEW YEAR ด้านขวา ใต้ตราพระมหาพิชัยมงกุฎ มีข้อความพิมพ์ด้วยตัวอักษรสีเหลือง ข้อความว่า “ความเมตตาเป็นคุณธรรมนำความสุข ช่วยปลอบปลุกปรุงใจให้หรรษา ความกตัญญูรู้คุณผู้เมตตา ทวีค่าของน้ำใจไมตรีเอย”

ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีแถบสีม่วงเข้ม มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส. 9 ปรุง 181122 ธค.55 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing, D Bramaputra, Publisher (พริ้นเทด แอท เดอะ สุวรรณชาด พับลิชชิ่ง, ดี. พรหมบุตร, พับลิชเชอร์)

กรอบของ ส.ค.ส. พระราชทานฉบับนี้ เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆ เรียงกัน ด้านซ้าย และด้านขวา เรียงกันด้านละ ๓ แถว ส่วนด้านบนและด้านล่างเรียงกันด้านละ ๒ แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม

แหล่งที่มา : http://www.kanchanapisek.or.th/speeches/2012/1231.th.html

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย รับลมหนาว

10 อันดับสถานที่ท่องเที่ยวในประเทศไทย รับลมหนาว

ฤดูหนาวมาถึงเราอีกรอบ ! ทำให้ใครหลายๆ คน อยากออกเดินทางไปกอดสายหมอก โอบลมหนาวกันสักครั้ง ว่าแล้วไม่ รอช้า คัดสรรแหล่งท่องเที่ยวรับลมหนาวที่ว่ากันสวยสุดยอด บรรยากาศดี และหลายๆ คนใฝ่ฝันอยากไปเยือนสักครั้ง รับรองว่าไปแล้วไม่เหงาหัวใจแน่นอน

1.ภูทอก อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย

           ภูทอก จุดชมวิวที่ขึ้นชื่อที่สุดของเชียงคาน จังหวัดเลย ท่ามกลางขุนเขาสลับซับซ้อนและวิวแม่น้ำโขงได้สุดสายตา โดยเฉพาะช่วงเช้าจะมีทะเลหมอกขาวปกคลุมเกือบทั้งเทือกเขา ได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์อย่างเต็มปอด พร้อมดื่มด่ำกับบรรยากาศที่แสนสดชื่น และยังสามารถชมวิวพระอาทิตย์ได้ทั้งขึ้นและตก เรียกได้ว่า สวยงามไม่แพ้สถานที่ท่องเที่ยวใดๆ ในเมืองไทยเลยทีเดียว  

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– 4 รีสอร์ตสุดน่ารัก น่าไปพักที่ ‘เชียงคาน’

– เชียงคาน เมื่อวานนี้ กับชีวิตช้าๆ ความสุขชิลล์ๆ

บินไปบินกลับ ขับรถเที่ยวเชียงคาน

– เชียงคาน สวรรค์บนดินของคนรักสงบ

– เชียงคาน หนาวนี้ต้องไป..เลย

2. อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จังหวัดพิษณุโลก

           อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง มีพื้นที่ครอบคลุม 2 จังหวัด คือ ท้องที่อำเภอวังทอง อำเภอนครไทย อำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก และอำเภอเขาค้อ อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ มีสภาพธรรมชาติ ทิวทัศน์ และลักษณะทางธรรมชาติที่สวยงามหลายแหล่ง เช่น ถ้ำ น้ำตก ทุ่งหญ้าโล่งใหญ่ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยพันธุ์ไม้และสัตว์ป่านานาชนิด และในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ อากาศจะหนาวเย็นมากเหมาะแก่การไปท่องเที่ยว พันธุ์ไม้ที่สำคัญ ได้แก่ ไม้สนสองใบ มะม่วงป่า ประดู่ และทุ่งหญ้าที่เป็นพื้นที่โล่งกว้างใหญ่มีสนและไม้ดอกขึ้นสลับกันอยู่ สามารถมากางเต็นท์ได้ ณ ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ทุ่งนางพญาและทุ่งโนนสน แต่ 2 ที่หลังนี้ไม่มีบริการไฟฟ้าและห้องน้ำอยู่กันแบบธรรมชาติล้วนๆ กิจกรรมที่นิยมมากคือการขี่จักรยานเที่ยวชมธรรมชาติรอบๆ อุทยานฯ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง โทร. 0-5526-8019

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– วิ่งจับสายหมอก เดินป่า ชมดอกไม้ @ ทุ่งโนนสน อช.ทุ่งแสลงหลวง

– ชมธรรมชาติเขียวขจี…ที่ทุ่งแสลงหลวง จ.พิษณุโลก


3.สถานีพัฒนาการเกษตรฯ ภูพยัคฆ์ จังหวัดน่าน

           สถานีพัฒนาการเกษตรฯ ภูพยัคฆ์ ตั้งอยู่ใน ต.ขุนน่าน อ. เฉลิมพระเกียรติ จ.น่าน ขึ้นบนพื้นที่กว่าแสนไร่ เปิดต้อนรับคนรักธรรมชาติที่อยากสัมผัสอากาศบริสุทธิ์ มีทัศนียภาพงดงาม มองไปเห็นนาขั้นบันไดเรียงตัวยาวไกลสุดสายตา กินผักสดปลอดสารพิษ และเดินเที่ยวสวนมัลเบอร์รีที่มีสีสันสวย รสเปรี้ยวอมหวาน ออกผลเป็น 2 ช่วง คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์จนถึงต้นเดือนพฤษภาคม และช่วงเดือนตุลาคมไปจนถึงมกราคม ในช่วงหน้าหนาวนี้เอง อากาศจะเย็นสบาย มีหมอกตอนเช้า หากได้มาเก็บมัลเบอร์รีช่วงนี้จะเป็นประสบการณ์ที่ดียิ่งนักท่องเที่ยว 

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– หนาวนี้เที่ยวน่าน กระซิบรักที่เมืองน่าน

– หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน  ชวนอยู่น่าน นาน นาน  นะ

– สัมผัสความโรแมนติกของซากุระเมืองไทย อช. ขุนสถาน จ.น่าน

– สัมผัสลมหนาวกับ 3 เมืองเล็กมากเสน่ห์ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์

4.ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ 

           สำหรับท่านใดที่ชอบท่องเที่ยวแบบใกล้ชิด ธรรมชาติ สัมผัสทะเลหมอกบนยอดภูเขา ชื่นชมความเขียวขจีของพรรณไม้ สูดอากาศบริสุทธิ์ เป็น “จุดชมทะเลหมอก” ที่สวยงามและอลังการอีกแห่งหนึ่งต้องไม่พลาดที่นี่เลย “ภูทับเบิก” จ.เพชรบูรณ์ อากาศเย็นสบายตลอดปี ในตอนเช้ามีหมอกและกลุ่มเมฆ มองเห็นเป็นทะเลหมอกตัดกับยอดภูสีเขียว เป็นแหล่งปลูกกะหล่ำปลีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภูทับเบิกเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ และดึงดูดใจนักท่องเที่ยวที่นิยมสัมผัสแก่นแท้วิถีชีวิต วัฒนธรรมชุมชน และแหล่งธรรมชาติที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวเชิงนิเวศที่กำลังมีกระแสความนิยมอยู่ทั่วไป ภายใต้คำกล่าวที่ว่า “นอนทับเบิก สัมผัสความหนาว ดูดาวบนดิน”

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– หนาวจับใจ ภูทับเบิก จ.เพชรบูรณ์

– หนาวสุดใจ…เที่ยวสุขสบาย…สไตล์ภูทับเบิก – ภูหินร่องกล้า

 
5.
ดอยหัวแม่คำ จังหวัดเชียงราย 

           หนึ่งใน Unseen Thailand ที่งดงามราวกับสวรรค์บนดิน ต้องยกนิ้วให้ ดอยหัวแม่คำ จังหวัดเชียงราย เพราะสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติโดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาว เนื่องจากชื่อเสียงระบือไกลของดอกไม้งามนามว่า “บัวตอง” นั้นจะเหลืองอร่ามไปทั่วทั้งหุบเขาที่กว้างใหญ่ และยังเป็นที่อยู่อาศัยของชาวเขาเผ่าต่างๆ ทั้ง อาข่า ม้ง ลีซอ ลาหู่ ทำให้ได้สัมผัสชีวิตชาวดอยอย่างใกล้ชิด ดอยหัวแม่คำ ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง นอกจากการเดินชมทิวทัศน์ และวิถีชีวิตของชนเผ่าแล้ว ยังมีวนอุทยานดอยหัวแม่คำ เป็นจุดชมวิวที่สูงที่สุดของดอยหัวแม่คำ ซึ่งควรที่จะตื่นมาตั้งตารอแต่เช้าตรู่ เพราะจะได้พบกับทะเลหมอกอันกว้างใหญ่ ที่ทอดกายปกคลุมภูเขาน้อยใหญ่สลับเรียงรายกันไปมา ดุจดั่งล่องลอยอยู่ในสรวงสวรรค์เลยทีเดียว

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– ขึ้นเหนือสัมผัสลมหนาว ที่แอท เชียงราย รีสอร์ท ( At ChiangRai Resort)

– สนุกครบรส ฟาร์ม เฟสติวัล ออน เดอะฮิลล์@ สิงห์ปาร์คเชียงราย

– ร้านอิ่มโภชนา (เจ้าเก่า) ดอยแม่สลอง เชียงราย

– รสา บูติก (Rasa Boutique) นอนเติมความสุขกลางเมืองเชียงราย


6.
อุทยานแห่งชาติภูเรือ จังหวัดเลย

           อุทยานแห่งชาติภูเรือ มีอาณาเขตด้านทิศเหนืออยู่ติดกับประเทศลาว มีรูปพรรณสันฐานเหมือนเรือใหญ่บนยอดดอยสูง โดยรอบๆ จะเห็นยอดดอยเป็นขุนเขาน้อยใหญ่ที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกละอองขาว และป่าอันอุดมสมบูรณ์ โดยมียอดเขาสูงที่สุดคือ ยอดภูเรือ มีความสูง 1,365 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นหน้าผาสูงชัน พื้นที่โดยรอบปกคลุมด้วยป่าสนเขา ทั้งสนสองใบและสนสามใบ สลับกับลานหินธรรมชาติ มีอากาศเย็นตลอดปี โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวจะหนาวเย็นมาก จนกระทั่งน้ำค้างบนยอดหญ้าจะแข็งตัวกลายเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ซึ่งมีภาษาพื้นเมืองเรียกว่า “แม่คะนิ้ง” ผู้ที่จะไปพักผ่อนจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมที่จะผจญกับความหนาวเย็น

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– อุทยานแห่งชาติภูเรือ ไปดูทะเลหมอก นับดาว กอดลมหนาว

– น่าไป! เทศกาลไม้ดอกเมืองหนาว อำเภอภูเรือ จังหวัดเลย ปี 55

– ไปภูเรือ  ดูดอกไม้ สถานีทดลองเกษตร จ.เลย 

– ผจญภัยกับกิจกรรมล่องแก่งลำน้ำสาน อ. ภูเรือ จ.เลย

– รวมที่เที่ยวจังหวัดเลย


7.ยอดเขาช้างเผือก จังหวัดกาญจนบุรี

           ยอดเขาช้างเผือก แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ การขึ้นมามาพิชิตยอดเขาช้างเผือก เป็นอีกหนึ่งทริปในฝันของนักท่องเที่ยว นักถ่ายภาพ นักผจญภัย ที่ต้องหาโอกาสมาสัมผัสกันให้สักครั้ง หน้าหนาวนี้หากคุณยังไม่มีโปรแกรมในใจที่ไหนเป็นพิเศษ ตามมาพิชิตยอดเขาช้างเผือกด้วยกัน แล้วคุณจะเห็นว่า แหล่งท่องเที่ยวใกล้กรุงอย่างภาคกลาง ยังมีอะไรให้คุณได้ตื่นตาตื่นใจอีกเยอะ ดินแดนแห่งธรรมชาติอัศจรรย์ แดนสวรรค์ตะวันตก อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ททท. สำนักงานกาญจนบุรี โทร.0 3451 1200

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– พิชิตเขาช้างเผือก ท้าความเสียวสุดๆ ครั้งหนึ่งในชีวิต!

– เขาช้างเผือก กาญจนบุรี

– รวมที่พักกาญจนบุรี

รวมที่เที่ยวกาญจนบุรี


8.อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน จังหวัดน่าน
 

           ขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนจะเดินทางมาท่องเที่ยวภาคเหนือใน ฤดูหนาวนี้ มาสัมผัสอากาศหนาว และชมความงามของทะเลหมอก รวมทั้งร่วมค้นหาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ ที่อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกิน ตำบลยอด อำเภอสองแคว จังหวัดน่าน อุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกินมีลักษณะภูมิประเทศเป็นภูเขาหินปูนที่มีลักษณะสวย งาม ประกอบไปด้วยแท่งเขาหินปูน และหน้าผาจำนวนมาก จึงทำให้มีสถานที่ที่สามารถมองชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามในลักษณะมองมุมสูง และไกลหลายแห่ง ทั้งบริเวณที่ทำการอุทยานแห่งชาติ และลานกางเต็นท์บริเวณฐานปฏิบัติการต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ใน อดีตบริเวณดอยจี๋ นอกจากนี้ภายในอุทยานแห่งชาติถ้ำสะเกินยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าไปค้นหา ความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกมากมาย 

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– หนาวนี้เที่ยวน่าน กระซิบรักที่เมืองน่าน

– หนาวนี้ ไปแอ่วน่าน  ชวนอยู่น่าน นาน นาน  นะ

– สัมผัสความโรแมนติกของซากุระเมืองไทย อช. ขุนสถาน จ.น่าน

– สัมผัสลมหนาวกับ 3 เมืองเล็กมากเสน่ห์ แพร่ น่าน อุตรดิตถ์

รวมที่เที่่ยวจังหวัดน่าน


9.ดอยอ่างขาง จ. เชียงใหม่

           สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม่ โครงการหลวง ท่ามกลางสวนพันธุ์ไม้กับอากาศดีๆ ดอยอ่างขางพร้อมให้คุณไปสัมผัส ทั้งความสวยงามของบรรยากาศ คุณค่าที่ชาวบ้านในท้องถิ่นได้รับจากโครงการหลวงแห่งนี้ ที่ทำให้ชาวบ้านเลิกปลูกฝิ่น แล้วหันมาปลูกสตรอเบอร์รี่ ชา และไม้ผลเมืองหนาวอื่นๆ แทน บ้านคุ้ม เป็นหมู่บ้าน ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าทางเข้าสถานีฯ อ่างขางเลย บรรยากาศจะเหมือนเดินอยู่ในเมืองจีน เพราะที่นี่ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นชาวจีน ไทใหญ่ และมูเซอดำบางส่วน ที่นี่ยังมีบริการที่พัก และสามารถหาของกินได้มากมาย อาทิ ขาหมูยูนนาน หมันโถวร้อนๆ บะหมี่สดยูนนาน ผลไม้แปรรูป ชาต่างๆ และเพื่อให้ได้อารมณ์สุดๆ ก็คือ การกางเต้นท์นอน ในโรงเรียนบ้านคุ้ม ซึ่งสามารถยืมชุดเครื่องนอนในโรงเรียนได้ แล้วก็หย่อนเงินลงกล่องบริจาคให้โรงเรียนแทน จากนั้นพอตกดึก เราก็สามารถก่อกองไฟ สำหรับการคลายหนาวลงไปได้บ้าง พอรุ่งสาง เราสามารถใช้บริการมัคคุเทศก์ตัวน้อย เพื่อให้พาไปเที่ยวในสถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ ได้อีกด้วย อาทิ จุดชมพระอาทิตย์ขึ้น ไร่สตรอเบอร์รี่ ไร่ชา หมู่บ้านขอบด้ง บ้านนอแล พระธาตุดอยอ่างขาง เป็นต้น รับรองว่า เด็ด!

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– รวมที่พักเชียงใหม่ น่าฮัก น่าไปมากๆ เจ้า

– รวมที่เที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

– อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ จ.เชียงใหม่

– ที่เที่ยวสุดฮิตเมืองเชียงใหม่ หนาวนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว

– เติมเต็มความสุขรับลมหนาว @ ยู เชียงใหม่

– 7 ที่เที่ยวเชียงใหม่สุดฮอต

เที่ยวดอย ชมดาว สัมผัสไอหนาว ที่ “ดอยอ่างขาง” จ.เชียงใหม่

เชียงใหม่ … ฤดูไหนๆ ก็น่ารักอ่ะ

เชียงใหม่…หนาวนี้ยังมีเสน่ห์ 


10.เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์

  

           เป็นอีกสถานที่ชื่อดังในเมืองไทยที่ว่ากันว่า อากาศดีสุดๆ จนได้รับฉายาว่า “สวิสแลนด์แดนสยาม” หลายคนที่เคยมาพักผ่อนติดอกติดใจจนต้องมาเป็นครั้งที่สอง และในครั้งที่สองเราอยากจะขอแนะนำให้ไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวในเขตทหาร บนยอดเขาค้อที่คุณอาจเคยพลาดไป และจะเป็นการดีมากหากใครที่ยังคิดเคืองติดใจกับทหารที่มีแต่ข่าวไม่ดีเราจะ ได้รู้ว่าพวกเขาก็คือคนที่ติดทองอยู่หลังพระทุกที่ทั่วแดนไทย ไม่เว้นแม้แต่สถานที่ท่องเที่ยว ความสนุกสนานข้างบนเขาค้อยังมีน้ำตกและแห่ลงแอนเวนเจอร์ที่หลากหลายสไตล์ที่ คุณจะได้สัมผัส และเราก็หวังว่าคุณจะไม่พลาดที่จะไปสูดอากาศดีๆ เข้าปอดกันนะ 

คลิก! อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง

– เที่ยวเพชรบูรณ์ ลัดเลาะเขาค้อ สัมผัสลมหนาว

– เขาค้อ เพชรบูรณ์ สัมผัสสายลมหนาวและไอหมอก

– เขาค้อ… ดินแดนแห่งความสุขของทุกๆ คน

– รวมที่เที่ยวจังหวัดเพชรบูรณ์

ทีมา : http://www.sanook.com

5 ธันวามหาราช ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

father

10 อันดับ จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย

10 อันดับ จังหวัดท่องเที่ยวยอดนิยมของไทย

อันดับที่ 10 จังหวัดเลย เป็นจังหวัดที่คนไทยอยากไปเที่ยวมากร้อยละ 3.07% สถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิต คือ อุทยานแห่งชาติภูกระดึง และ ภูเรือ เหมาะสำหรับคนรักธรรมชาติ สมบุกสมบันได้

อันดับที่ 9 จังหวัดระยอง คนไทยอยากไปร้อยละ 3.21% ครั้งหนึ่ง ระยอง เคยเป็นจังหวัดที่มีรายได้ประชากรต่อหัวสูงที่สุดในประเทศ สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นชายหาด อย่าง หาดแม่รำพึง และเกาะเสร็จไม่เสร็จ อย่าง เกาะเสม็ด ชื่อดัง

อันดับที่ 8 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับความนิยมร้อยละ 4.24% เป็นจังหวัดหนึ่งที่ชาวต่างชาตินิยมมาเยือนที่สุด สถานที่เที่ยวยอดฮิต ได้แก่ เกาะสมุย และ เกาะพงันโดยเฉพาะเทศกาล Full Moon Party ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้อย่างล้นหลาม

อันดับที่ 7 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดที่คนอยากไปร้อยละ 4.68% เพราะเป็นเมืองชายทะเลแสนสงบอีกแห่งของประเทศไทย สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมได้แก่ อ่าวมะนาว หรือ อ่าวน้อย และ อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ซึ่งรายล้อมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ

อันดับที่ 6 จังหวัดแม่ฮ่องสอน มีคนอยากไปร้อยละ 4.84% ด้วยความหลากหลายด้านวัฒนธรรมและชนเผ่า ประกอบกับสภาพอากาศที่มีหมอกปกคลุมตลอดปี เนื่องจากภูมิประเทศเต็มไปด้วยภูเขาสูงสลับซับซ้อน จนได้รับฉายาว่า “เมืองสามหมอก” เป็นพื้นที่ปลายสุดด้านตะวันตกของประเทศ มากมายไปด้วยดอย ถ้ำน้ำตก เป็นสิ่งดึงดูดใจนักท่องเที่ยว

อันดับที่ 5 จังหวัดชลบุรี ความนิยมร้อยละ 5.63% เป็นแหล่งรวมทะเลยอดฮิตของไทย เกาะล้าน เกาะสีชัง บางแสน เขาสามมุข แหลมแท่น ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ อาจเพราะสะดวกด้วยระยะทางไม่ไกล ได้สัมผัสทะเลโดยใช้เวลาเดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมง

อันดับที่ 4 จังหวัดเชียงราย คนอยากไปร้อยละ 11.86% นิยามที่รู้กัน “เชียงรายเหนือสุดแดนสยาม” หนึ่งสถานแห่งการพักผ่อน สูดอากาศเข้าปอดได้เต็มที่สถานที่เที่ยวยอดนิยม ได้แก่ ดอยแม่สลอง ดอยตุง ภูชีฟ้า และ วัดร่องขุน ซึ่งติดหนึ่งในวัดที่สวยที่สุดในโลก

อันดับที่ 3 จังหวัดกระบี่ คะแนนนิยมร้อยละ 11.86% ด้วยความสวยงามของทะเล และ unseen มากมาย อย่าง ทะเลแหวก หรือ เกาะยอดฮิตอย่าง เกาะพีพีซึ่งเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเล สวยงามด้วยปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ อย่าง สุสานหอย 40 ล้านปี

อันดับที่ 2 จังหวัดภูเก็ต หรือ เกาะภูเก็ต คนอยากไปร้อยละ 23.59% เป็น เกาะที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่เที่ยวอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมทั้งในหมู่คนไทยและต่างชาติ ตั้งแต่ หาดป่าตอง หาดสุรินทร์ แหลมพรเทพ แหลมพันวา นานาชายหาดชื่อดังที่คอทะเลต้องมาสัมผัสสักครั้ง

อันดับที่ 1 จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับความนิยมสูงสุดร้อยละ 31.07 % เป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ และเป็นเมืองท่องเที่ยวติดอันดับโลก มากมายด้วยสถานที่ท่องเที่ยว ความเป็นท้องถิ่นควบคู่ไปกับความเจริญ ท่ามกลางสภาพอากาศหนาวเย็นและภูมิศาสตร์ที่สวยงาม แวดล้อมด้วยภูเขาสูงและดอยน่าเที่ยว อาทิ ดอยสุเทพ ดอยอินทนนท์ ดอยเชียงดาว ออบหลวง ออบขาน ทั้งยังมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวทางประเพณีและวัฒนธรรม หัตถกรรมพื้นบ้าน ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ สมัครเข้าร่วมการพิจารณาเป็น เมืองสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ของยูเนสโก

ข้อมูล http://www.toptenthailand.com/th.wikipedia.org

สูตรสำเร็จสำหรับชีวิตประจำวัน‏

สูตรสำเร็จสำหรับชีวิตประจำวัน‏

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้
         ๑. อย่าเปรียบเทียบ ชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง  
         ๒. อย่าคิดทางลบ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย,ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย 
         ๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้ …รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน  
         ๔. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก  เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก  
         ๕. อย่าเสียเวลา และพลังงานอันมีค่าของคุณ กับเรื่องหยุมหยิม หรือเรื่องซุบซิบ….นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง  
         ๖. จงฝันตอนตื่น มากกว่าตอนหลับ  
         ๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่าๆ ปลี้ ๆ…คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว 
         ๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ  
         ๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น  
         ๑๐. ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น,จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ  
         ๑๑. ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง  
         ๑๒. จงเข้าใจเสียว่า ชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และ ปัญหาเป็น เพียง ส่วนหนึ่งของหลักสูตร ซึ่งมาแล้วก็หาย ไป…เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต…แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต  
         ๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น  
         ๑๔. คุณ ไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถก เถียงกับคนอื่น หรอก…บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกัน ได้…เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร
 
 แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ ?
         ๑. อย่าลืมโทรฯ หาครอบครัวบ่อย   ๆ  
         ๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน  
         ๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง  
         ๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70  และต่ำกว่า  6 ขวบ  
         ๕. พยายามทำให้อย่างน้อย  3  คนยิ้มได้ทุกวัน  
         ๖.  คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสักหน่อย !!! ช๊อบชอบข้อนี้อ่ะ
         ๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอกแต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น ,  อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด
 
และ ถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้  ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
         ๑. ทำสิ่งที่ควรทำ  
         ๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย…เก็บไว้ทำไม ?  
         ๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้  
         ๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด ,  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน  
         ๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง,  แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย… get up, dress up and show up.  
         ๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง  
         ๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้ ,  อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า   หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย  
         ๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก  ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ…ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า

++ข้อมูลจาก FWD MAIL++

ที่มาของท่าชูสองนิ้ว

ที่มาของท่าชูสองนิ้ว

ท่าชูสองนิ้วมาจากไหน ท่าชูสองนิ้วคืออะไร

           ท่าถ่ายรูปที่กลางเป็นท่าประจำตัวของใครหลายๆคนไปแล้วนึกอะไรไม่ออก ก็ชูสองนิ้วไปก่อนละกันจนหลายคนเรียกกันขำๆว่า “ท่าสิ้นคิด”แต่รู้กันไหมครับ ว่าที่มาของท่าการชูสองนิ้วนั้นมีความหมายมากกว่าการเป็นท่าแอ๊บแบ๊วให้ดูน่ารักกุ๊กกิ๊กแบบในปัจจุบันนี้แน่นอนครับ

           การชูสองนิ้วมีความหมายถึง ตัวอักษร วี ” V ” ที่มากจากคำว่า Victory ที่แปลว่าชัยชนะครับซึ่งลักษณ์นี้เริ่มแพร่หลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองหรือบางทีการชูสองนิ้วนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ในการให้กำลังใจว่า สู้ๆ ได้เหมือนกัน ครับ

          โดย ได้มีชายเบลเยี่ยมคนหนึ่ง อาศัยวิทยุกระจายเสียงปลุกเร้าเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นต่อต้านการบุกของเยอรมันโดยใช้เครื่องหมาย V เพื่อสร้างกำลังกำลังใจให้ตัวเองและในที่สุดพวกเขาก็ชนะศัตรูได้เตรื่องหมาย V จึงกลายมาเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะ จนวันนี้

Credit: เรื่องน่ารู้อยู่รอบตัว

ความหมายของดอกไม้ ที่นำมาใช้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

           ความหมายของดอกไม้ต่างๆ ตามโบราณท่านมีความเชื่อว่า ดอกไม้แต่ละอย่างนั้น ยังมีความหมายในตัวของมันเอง ท่านจึงนำดอกไม้แต่ละชนิด มาถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่ว่าผู้ใดนำดอกไม้อะไรมาถวาย การดำรงชีวิตของผู้นั้น จะได้รับผลตามความหมายของดอกไม้ ที่นำมาถวายให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายดังนี้

 

 

– ดอกมะลิหอม หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข

– ดอกพุด หมายถึง พบแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่บริสุทธิ์

– เขี้ยวกระแต หมายถึง มองเห็นแต่สิ่งที่ดี

– ดอกบัวหลวง หมายถึง ความสุข, ความสำเร็จ

– กุหลาบแดง หมายถึง ความรักที่สดชื่น

– กล้วยไม้ หมายถึง ทำอะไรราบรื่น

– ไผ่กวนอิม หมายถึง เป็นมิ่งขวัญแก่ตนเอง

– ดาวเรื่อง หมายถึง พบแต่ความรุ่งเรื่อง

– ใบมะตูม หมายถึง มีชื่อเสียง

– ดอกชบา หมายถึง พบความสำเร็จ

– หญ้าแพรก หมายถึง มีความฉลาด

– ดอกลำโพง หมายถึง มีความโด่งดังทั่วฟ้า

– บานไม่รู้โรย หมายถึง รักไม่รู้โรย

++ข้อมูลจาก FWD MAIL++

++รูปภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต++

แอบเอาภาพฝีมือตนเองมาโชว์สักนิด

อาจจะไม่สวยงามและน่าสนใจแต่ดึงดูดใจด้วยความรู้สึก

เก็บเอางานฝีมือตัวเองมาโชว์นิดๆ………………

This slideshow requires JavaScript.

วันแม่แห่งชาติ ประจำปี 2555

ประวัติวันแม่

ประวัติวันแม่

วันแม่ เป็นวันที่สำคัญในหลายประเทศทั่วโลกจัดขึ้นเพื่อให้เกียรติแม่และความเป็น แม่ ในประเทศไทยวันแม่แห่งชาติ ตรงกับวันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี ในประเทศอื่นทั่วโลกวันแม่จะอยู่ในช่วง เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ส่วนในอังกฤษและไอร์แลนด์วันแม่ถูกจัดขึ้นต่อจากวันอาทิตย์แห่งความเป็นแม่ ซึ่งเป็นวันสำคัญของศาสนาคริสต์

ประวัติวันแม่ในประเทศไทย

 

ดอกมะลิวันแม่

วัน แม่แห่งชาติในประเทศไทย ปัจจุบันตรงกับวันที่ 12 สิงหาคมของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โดยเริ่มใช้วันดังกล่าวเป็นวันแม่แห่งชาติเมื่อ พ.ศ. 2519 ก่อนหน้านั้นเคยใช้วันที่ 10 มีนาคม, 15 เมษายน, และ 4 ตุลาคม สัญลักษณ์ที่ใช้ในวันแม่คือ ดอกมะลิ ซึ่งมีสีขาว ส่งกลิ่นหอมได้ไกลและได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี โดยตีความเปรียบกับความรักบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่เสื่อมคลาย

งาน วันแม่จัดขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2486 ณ.สวนอัมพร โดยกระทรวงสาธารณสุข แต่ช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไป เมื่อวิกฤติสงครามสงบลง หลายหน่วยงานได้พยายามให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง ต่อมาวันแม่ที่รัฐบาลรับรอง คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 แต่ก็ต้องหยุดลงอีกในหลายปีต่อมา เนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรมถูกยุบไป ส่งผลให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติซึ่งรับหน้าที่จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน

ต่อ มาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย ได้จัดงานวันแม่ขึ้นอีกครั้ง ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวเท่านั้น จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้กำหนดวันแม่ขึ้นใหม่ให้เป็นวันที่แน่นอน โดยถือเอาวันเสด็จพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ คือ ดอกมะลิ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย…

คำขวัญวันแม่ 2555


          วัน ที่ 12 สิงหาคมของทุกปี เป็นวันสำคัญที่คนไทยทุกคนรู้กันดีว่า ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และถือเป็น “วันแม่แห่งชาติ” ของประเทศไทยที่ทุกคนให้ความสำคัญ ซึ่งนับตั้งแต่วันแม่แห่งชาติเมื่อปี พ.ศ.2544 เป็นต้นมา ก็จะมีการตั้งคำขวัญประจำวันแม่แห่งชาติ เพื่อให้ลูก ๆ ทุกคนได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อมารดา

          และนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่วันแม่แห่งชาติ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2552 เป็นต้นมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติแก่สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อจะนำไปเผยแพร่เทิดพระคุณแม่ทั่วประเทศ

           โดยในปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ความว่า “มือของแม่นั้น คือ มือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลาอยากให้เป็นงานดีที่งามเงาอยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ”

คำขวัญวันแม่ประจำปีต่าง ๆ มีดังต่อไปนี้
 
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2544

         “พระองค์แรกผู้แสนดีให้ชีวิต  ครูคนแรกผู้ประสิทธิ์การศึกษา สองหัตถ์โอบนคราพาร่มเย็น รวมคุณค่านี้ได้แก่แม่เราเอง” 

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2545

         “แม่คือพระประจำอยู่ในบ้าน  บูชาท่านไว้เถิดเกิดมิ่งขวัญ พระคุณแม่เลิศล้ำเกินรำพัน แม่จึงเป็นคนสำคัญทุกวันไป”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2546 

         “สามร้อยหกสิบห้าวันคือวันแม่  มิใช่แค่วันใดให้นึกถึงสม่ำเสมอสมัครจิตคิดคำนึง เหมือนแม่ซึ่งรักลูกครบทุกวัน”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2547 

          สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า

         “แม่คือผู้ให้ ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนใดใด นอกจากความรักความเข้าใจจากลูก”

           พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ประทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติปีนี้ความว่า

         “แม่ไม่อาจอยู่กับลูกได้ชั่วชีวิต ควรสอนให้เขารู้จักคิดและเลือกปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2548

         “ดุจดังแม่ผู้ประเสริฐบังเกิดเกล้า เลี้ยงเราทุกคนมาจนใหญ่ ทุกคำข้าวคือสินแผ่นดินไทย ควรตรองใจทดแทนคุณแผ่นดิน”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2549 
  
         “รักในหลวงพร้อมใจใส่เสื้อเหลือง รักบ้านเมืองจงน้อมใจให้สร้างสรรค์ ใส่สีเดียวแล้วใจเดียวกลมเกลียวกัน รักเช่นนั้นชาติของตนจึงพ้นภัย”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2550

    “ข้าวในนาปลาในน้ำคำโบราณ คือตำนานความอุดมสมบูรณ์สิน ฝากลูกไทยร่วมห่วงแหนรักแผ่นดิน ถนอมไว้อย่าให้สิ้นแผ่นดินไทย”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2551

         “เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่น หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน จักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2552

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2552 ความว่า

“แผ่นดินนี้ปู่ย่าตายายสร้าง  เคยทอดร่างลงถมถิ่นแผ่นดินแม่ ขอลูกไทยรักษามั่นไม่ผันแปร   เป็นไทยแท้มิใช่ไทยแต่ในนาม”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2553

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2553 ความว่า

“แผ่นดินนี้แม่ของลูกใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าวที่เดินซ้ำย่ำหว่านไถ บำรุงดินจนอุดมสมดังใจ หวังนาไทยเป็นของไทยไปนิรันดร์”

 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2554

สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2554 ความว่า

“เพลงชาติไทยเตือนไทยไว้เช้าค่ำ ให้จดจำจารึกใจไว้ทุกส่วน จะดำรงคงไทยได้ทั้งมวล ด้วยไทยล้วนหมายรักสามัคคี”
  
 คำขวัญวันแม่ ประจำปี 2555

          สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2555 ความว่า

         “มือของแม่นั้น คือ มือช่างปั้น ขึ้นรูปอันอ่อนลออจนหล่อเหลาอยากให้เป็นงานดีที่งามเงาอยู่ที่คอยขัดเกลาแต่เบามือ”

ที่มา : http://www.kapook.com

วันอาสาฬหบูชา

ธรรมจักกัปปวัตนสูต

วันอาสาฬหบูชา

          ทุกวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี จะตรงกับวันสำคัญทางพุทธศาสนาอีกหนึ่งวัน นั่นคือ “วันอาสาฬหบูชา” ซึ่งในปี พ.ศ.2555 นี้ วันอาสาฬหบูชา ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม และวันเข้าพรรษา ตรงกับวันที่ 3 สิงหาคม

          ทั้งนี้ คำว่า “อาสาฬหบูชา” สามารถอ่านได้ 2 แบบ คือ อา-สาน-หะ-บู-ชา หรือ อา-สาน-ละ-หะ-บู-ชา ซึ่งจะประกอบด้วยคำ 2 คำ คือ อาสาฬห ที่แปลว่า เดือน 8 ทางจันทรคติ กับคำว่า บูชา ที่แปลว่า การบูชา เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า การบูชาในเดือน 8 หรือการบูชาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญในเดือน 8 

          วันอาสาฬหบูชา คือวันที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก หลังจากตรัสรู้ได้ 2 เดือน   โดยแสดงปฐมเทศนาโปรดพระปัญจวัคคีย์ทั้ง 5 ได้แก่ พระโกณฑัญญะ พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานาม และพระอัสสชิ ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี แคว้นมคธ จน พระอัญญาโกณฑัญญะ ได้บรรลุธรรมและขอบวชเป็นพระภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา จึงถือว่า วันนี้มีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์ครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ซึ่งเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนพุทธศักราช 45 ปี

        ทั้งนี้ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 เรียกว่า  “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” แปล ว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม ซึ่งหลังจากปฐมเทศนา หรือเทศนากัณฑ์แรกที่พระองค์ทรงแสดงจบลง พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม สำเร็จเป็นพระโสดาบัน จึงขออุปสมบทเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าก็ได้ประทานอุปสมบทให้ด้วยวิธีที่เรียกว่า “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” พระโกณฑัญญะจึงได้เป็น พระอริยสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ต่อมา พระวัปปะ พระภัททิยะ พระมหานามะ และพระอัสสชิ ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม และได้อุปสมบทตามลำดับ 

          สำหรับใจความสำคัญของการปฐมเทศนา มีหลักธรรมสำคัญ 2 ประการ คือ

    1. มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลางๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด 2 อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ

           การหมกมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่าเป็นการหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นในกามสุข หรือกามสุขัลลิกานุโยค 

           การสร้างความลำบากแก่ตน ดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น ซึ่งการดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

          ดัง นั้น เพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ 8 ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ 8 ได้แก่ 
      
           1. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง 

           2. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม 

           3. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต 

           4. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต 

           5. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต 

           6. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี 

           7. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด 

           8. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน 

    2. อริยสัจ 4 แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่  
    
           1. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้ กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด  
    
           2. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่นๆ  
    
           3. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา  

           4. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการดังกล่าวข้างต้น


กิจกรรมวันอาสาฬหบูชา

พิธีกรรมโดยทั่วไปที่นิยมกระทำในวันนี้ คือ การทำบุญ ตักบาตร รักษาศีล ฟังพระธรรมเทศนา และสวดมนต์ ในตอนค่ำก็จะมีการเวียนเทียนที่เป็นการสืบทอดประเพณีอันดีงามของไทยเรา ดังนั้น พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรเข้าวัด เพื่อน้อมระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งยังเป็นการช่วยชะล้างจิตใจให้ปลอดโปร่งผ่องใส จะได้มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมสำหรับการดำเนินชีวิตในยุคที่ค่าครองชีพถีบ ตัวสูงขึ้นอย่างนี้…

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

– กระปุกดอทคอม
dhammathai.org
คลังปัญญาไทย

กิจกรรมรับน้องขึ้นดอย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ประจำปี 2555

ขอขอบคุณวีดีโอจาก youtube

http://www.youtube.com/watch?v=nmx4eg3pG6c

ขอแชร์หน่อยเถอะ…

ขออนุญาตนำเสนอวงดนตรีน้องใหม่ที่ฝึกสอนเองกับมือในเวลา 1 เดือน สงสัยครูจะสอนไม่ค่อยดี นักเรียนเลยเล่นได้แค่นี้  (แปลก ๆ ) วงนี้ ชื่อ วง Friday Club นักเรียนโรงเรียนบ้านขอวิทยา กับประสบการณ์ครั้งแรกของการเล่นดนตรี……ดูเอาเองว่าเป็นไง